เปิดใจครั้งแรก”สันติ ปิยะทัต”เอ็มดี เค.ซี. หลังพลิกฟื้นชู 5 กลยุทธ์สร้างการเติบโตยั่งยืน

ตลอดปี 2565 ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงที่สุด คือ สร้างการเติบโตแบบยั่งยืน ซึ่งได้รับความสนใจและเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาปรับใช้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ อย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับแบรนด์เค.ซี. ที่พลิกฟื้นบริษัทฯกับมา พร้อมมุ่งเน้นสร้างการเติบโตบริษัทแบบยั่งยืน

สันติ ปิยะทัต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มที่หลังจากกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง โดยในปีนี้ มุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์เค.ซี. รวมถึงการเดินหน้าสร้างผลการดำเนินให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตั้งเป้าหมายปี 2565 เติบโต 200% โดยมุ่งลงทุนและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง

บริษัทตั้งเป้าหมายเในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเต็มที่หลังจากกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง โดยเฉพาะการเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์เค.ซี. รวมถึงการเดินหน้าสร้างผลการดำเนินให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตั้งเป้าสร้างรายได้กลับขึ้นไปแตะ 1 พันล้านบาท ภายใน 3-5 ปี โดยที่จะรุกเปิดโครงการบ้านหรูระดับ

“โจทยใหญ่ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในปีนี้ การรับมือกับปัญหาเรื่องต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น  แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงบ้างแล้ว แต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์กันไว้ ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และต้นทุนอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้นตาม รวมไปถึงการขาดแคลนวัตถุดิบในบางตัว ส่งผลให้ราคาอสังหาฯ ต้องปรับตัวสูงขึ้นตาม ขณะที่กำลังซื้อก็ยังไม่ฟื้นตัวดี”

ชู 5 กลยุทธ์ดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้  บริษัท ได้วางกลยุทธ์ เพื่อแก้ไขและปรับปรุงจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยแบ่งกลยุทธ์ออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่

.1.กลยุทธ์ด้าน Product ในปีนี้ เรามีการเพิ่ม Product line ใหม่ ในส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ ได้แก่ อาคารพาณิชย์ โครงการ เค.ซี.สุวินทวงศ์ 2 เพื่อเติมเต็มหมวดหมู่ของสินค้าเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

2.กลยุทธ์ด้าน Process จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ใน 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงปัญหาของความล่าช้าที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานจากผลกระทบดังกล่าว และได้นำมาปรับปรุงเป็นกระบวนการ FAST process เพื่อทำให้การทำงานของเรารวดเร็ว และถูกต้องมากยิ่งขึ้น

    3.กลยุทธ์ด้าน” ต้นทุน” เราเล็งเห็นถึงปัญหาต้นทุนที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้รวมถึงในอนาคต โดยเฉพาะต้นทุนค่าก่อสร้างที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ เราจึงเน้นในเรื่องของการควบคุมต้นทุนเชิงรุก ได้แก่การทำ VAVE การปรับปรุง Design เพื่อให้งานก่อสร้างรวดเร็วขึ้น และต้นทุนลดลง รวมถึงการพยายามใช้วัสดุร่วมกัน เพื่อให้เกิด Economy of scale ให้ได้มากที่สุด โดยยังรักษาคุณภาพของงานก่อสร้างที่มีมาตรฐานเป็นสำคัญ

4.กลยุทธ์ด้านการตลาด ซึ่งในปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือในการค้นหาข้อมูลเป็นหลัก ดังนั้นในปีนี้ และในอนาคต เรามีการเพิ่มสัดส่วนการทำการตลาด Online มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น และตรงกลุ่มมากขึ้น

และ5.กลยุทธ์ด้านธุรกิจใหม่ จากการที่เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่อยู่ในวงการมากกว่า 40 ปี จึงทำให้เห็นถึงปัญหาของลูกค้าในมุมของความต้องการด้านงานบริการ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาธุรกิจที่จะให้บริการด้านงานซ่อมแซม ตกแต่ง ต่อเติมให้กับลูกค้าของเค.ซี. รวมถึงการขยายโอกาสไปยังโครงการอื่นๆ เพิ่มเสริมสร้างรายได้ในส่วนนี้ เป็นต้น

วางเป้าไ 3-5 ปี รายได้แตะ 2พันล้าน

สันติ  กล่าวต่อว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565  ได้วางเป้าหมายรายได้ที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าจากปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้ปีนี้ประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะมาจากการขายโครงการบ้านแนวราบและอาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนามาก่อนหน้าประมาณ 4-5 โครงการบนทำเลที่พัฒนามาแล้ว ได้แก่ แพรกษา ,สุวินทวงศ์ ,นิมิตรใหม่ และแพลตฟอร์ม ออคิด ปาร์ค มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ที่จะทยอยสร้างรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog)ประมาณ 106 ล้านบาท ที่จะเข้ามาสร้างผลประกอบการให้เติบโตในครึ่งหลังของปี2565

“ภายใน 3- 5  ปีข้างหน้า เค.ซี.จะก้าวสู่การเป็นบริษัทอสังหาฯขนาดกลางที่มีสินทรัพย์มากขึ้น  จากปัจจุบันเป็นอสังหาฯรายเล็กอยู่ โดยมั่นใจจะสามารถกลับไปมียอดขายระดับ 2,000 ล้านบาทอีกครั้ง เพราะเรามีโครงการะดับพรีเมี่ยมมากขึ้น”

ผนึกเจ้าของที่ดินร่วมพัฒนาโครงการบ้านหรู

สันติ กล่าวด้วยว่า  นอกจากการบริหารที่ดินในโครงการที่พัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีที่ดินกว่าหลาย100 ไร่ คาดว่าที่ดินใน 4-5 โครงการ จะสามารถพัฒนาโครงการได้ต่อเนื่องถึง 3 ปีจนปิดโครงการได้ ที่ดินแต่ละแปลงในแต่ละโครงการ เป็นต้นทุนเดิมที่สร้างโครงการในราคาที่ไม่สูง สามารถตอบสนองต่อความต้องการซื้อของลูกค้าได้ในราคาที่เข้าถึงได้  

แนวทางที่สอง จะเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับเค.ซี. กับการศึกษาโมเดลที่จะร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน ในการพัฒนาโครงการบ้านระดับหรู  ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาอยู่ 3-4 แปลงในเมือง คาดว่าปลายปี 65 จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน 1 ราย เพื่อพัฒนาโครงการบ้านหรูระดับพรีเมียม ยังมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยอยู่มากในปัจจุบันและในอนาคต เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และไม่มีความเปราะบางต่อภาวะเศรษฐกิจ และการขายบ้านที่มีมูลค่าสูง ช่วยให้บริษัทสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ระดับราคาขาย 20-50 ล้านบาท มูลค่าโครงการเกินกว่า 1,000 ล้านบาท หรืออีกรูปแบบ อาจจะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อเสนอเป็นทางเลือกให้เจ้าของที่ดินแปลงที่ดินในการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนก็ได้

“เรามองหาที่ดินร่วมทุนในทำเลที่เหมาะสม ขนาดประมาณ 15-20 ไร่ต่อโครงการ ตอนนี้มีที่เจรจาอยู่3-4 แปลง ก็สามารถพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดได้มูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท โมเดลการร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ด จะเป็นผลดีกับเรา ช่วยในเรื่องประหยัดการลงทุนที่ดิน ลดภาระอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และยิ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ “ สันติกล่าวทิ้งท้าย

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *