เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เดินเกมกลยุทธ์ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมสู่การเติบโตบนสมรภูมิใหม่

รายใหญ่หลายค่ายต่างเริ่มทยอยแถลงแผนธุรกิจของปี 2566 ล่าสุดค่าย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โฮม (ประเทศไทย) มองภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 17,500 ล้านบาท เพื่อต้องการเพิ่มพอร์ตโครงการแนวราบทุกเซกเมนต์ ทุกระดับราคา ทั่วทุกมุมเมือง รับดีมานด์ตลาดบ้านเดี่ยวเติบโต

แสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด  ฉาพให้เห็นถึง ภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงสนับสนุนจากมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น นโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาและคาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3.0 – 3.5% ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยลดลงถึง 4.4% ซึ่งเป็นการหดตัวในรอบ 20 เดือน นอกจากนั้นหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่ 90% ก็ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ อีกทั้งดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.75% จาก 1.25% ในปัจจุบัน ก็จะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศด้วยเช่นกัน

ขยายโครงสร้างพื้นฐานดันราคาที่ดินย่านรัตนาธิเบศร์สูงขึ้น 64.4%

แสนผิน กล่าวด้วยว่า ราคาที่ดินเป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการ  พบว่าราคาที่ดินก็มีการปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 75% โดยจากปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานที่มีการเชื่อมต่อสู่จังหวัดฝั่งตะวันตก ทำให้ราคาที่ดินในย่านรัตนาธิเบศร์-ชัยพฤกษ์ สูงขึ้น 64.4% ปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์ สูงขึ้น 65.5% จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าซึ่งทำเมืองมีการขยายตัว ส่งผลให้ราคาที่ดินในย่านวัชรพล-สายไหม สูงขึ้น44.2% เกษตร-รามอินทรา สูงขึ้น 60.4% ขณะที่การเกิดขึ้นของโครงการทางด่วน ทำให้ที่ดินในย่านสุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ สูงขึ้น63.2% พระราม 2-บางบอน สูงขึ้น 97.9% และในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง มีโครงการอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่จำนวนมาก อย่าง ย่านรามคำแหง-อ่อนนุช ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 138.3% เส้นเทพารักษ์-บางพลี ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 38.8% และ บางนา-วงแหวน ที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้น 98.4%

เพิ่มพอร์ตโครงการแนวราบทุกเซกเมนต์ทั่วทุกมุมเมือง

 สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจปี 2566 แสนผิน บอกว่า เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โฮม  มุ่งสร้างความเสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ โดยมีแผนเปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการประเภทบ้านเดี่ยวในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ซึ่งจะมีการพัฒนาโครงการในระดับราคา 60-120 ล้านบาทใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ รวมถึง อัลพีน่าและ เดอะ แกรนด์  เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน

ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ด้วยการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพสูง รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชันที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวกในราคาที่จับต้องได้  พร้อมวางแผนจัดแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชันพิเศษตลอดทั้งปีเพื่อกระตุ้นยอดขาย และยังเป็นการสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัทอีกด้วย

นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนบุกตลาดคอนโดโลว์ไรส์ฟรีโฮลด์เป็นครั้งแรก หลังนำร่องพัฒนาโครงการ ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ ซึ่งเป็นโครงการลีสต์โฮลด์ เนื่องจากเห็นโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่มีสัดส่วนดีมานด์เพิ่มมากที่สุดในปี 2565 ในขณะที่สินค้าคงเหลือในตลาดกลับมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการคอนโด Low Rise ในโลเคชันตั้งอยู่ในเมืองและใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งโครงการแรกจะเปิดขายในช่วงกลางปี ได้แก่  “KLOS รัชดา” มูลค่าโครงการเกือบ 1,000 ล้านบาท ในทำเลรัชดา ซึ่งปัจจุบันมีซัพพลายคอนโด เหลือขายไม่มากนัก

ลุยเปิด 11 โครงการมูลค่ากว่า 17,500 ล้าน

สำหรับในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์โฮม 2 โครงการ บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ

2 กุญแจหัวใจสำคัญการขับเคลื่อนองค์กร

“ เราจะเดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ ผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และเติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการ และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคย” แสนผิน กล่าว

อย่างไรก็ดี ในปี 2565 ที่ผ่านมา แม้อยู่ในช่วงภาวะวิฤตแต่บริษัทมีผลการดำเนินงานด้านรายได้แลกำไรสุทธิที่เติบโต โดยสามารถทำรายได้ 11,392 ล้านบาท เติบโต 2% และกำไรสุทธิ 1,470 ล้านบาท เติบโต 63% จากการฝ่าวิกฤตด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง โดยการเปิดตัวโครงใหม่การบนที่ดินที่บริษัทมีอยู่เดิม  ทำให้มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า และสามารถทำกำไรได้มากกว่า ขณะที่มีการขยายตลาดบ้านเดี่ยว ซึ่งกลุ่มลูกค้าได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่า โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว 4,519 ล้านบาท เติบโต 66% เมื่อเทียบกับปี 2564 นอกจากนั้นยังใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาด เป็นผลให้กำไรเพิ่ม รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดลง 10% และประหยัดค่าดำเนินการโครงการลงถึง 30%

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *