ออริจิ้น ประกาศเปิดโครงการใหม่ปี”66เพิ่ม20%บุกหัวเมืองท่องเที่ยวนอกEECครั้งแรก

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  เผยปี 2566 เปิดโครงการใหม่เพิ่ม 20% บุกทำเลใหม่เพิ่มเติม พร้อมบุกหัวเมืองต่างจังหวัดนอก EEC ครั้งแรก ขณะที่ปี 2565 ทำยอดขายบ้านและคอนโดกว่า 41,026 ล้าน ทะลุเป้าหมายทั้งปี 117% และเติบโตจากปีก่อนหน้า 36% ชูจุดแกร่งมีสินค้าตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์ราคาและไลฟ์สไตล์ กระจายโครงการหลากหลายทำเล

พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2566 นั้น ยังมีสัญญาณบวกจากรอบด้าน อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นกว่าปี 2565 เป็นเท่าตัว สถานการณ์กำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศฟื้นตัว GDP ของประเทศที่อาจเติบโต 3-5% ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

จากสถานการณ์ดังกล่าว ออริจิ้น จึงมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ประมาณ 20% พร้อมการเปิดโครงการไปทำเลใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไปมาก่อนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตลอดจนตลาดหัวเมืองท่องเที่ยวนอกเหนือจากแถบ EEC ด้วย พร้อมกันนี้จะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับคน Gen Y และ Gen Z คู่ขนานไปกับการตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์

กวาดยอดขายบ้าน-คอนโดปี 2565 ทะลุเป้า 41,026ล้าน

สำหรับยอดขาย (Presales) โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทตลอดทั้งปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 41,026 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ที่ 35,000 ล้านบาท และเติบโตจากปี 2564 ถึง 36% ถือเป็นยอดขายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (All Time High) โดยแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% ซึ่งยังคงทำยอดขาย All Time High ต่อเนื่องตามแผน และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% เมื่อแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 53% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) อีกราว 47%

“ยอดขายที่เกิดขึ้น มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และความแข็งแกร่งของเราใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.มีสินค้าหลากหลายแบรนด์ตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์ราคา 2.มีสินค้าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต 3.มีสินค้าทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมกระจายตัวในหลากทำเล ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 ค่อยๆ คลี่คลาย และบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยฟื้นตัวจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” พีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มโครงการที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี คือกลุ่มโครงการที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างกลุ่มคอนโดมิเนียมตอบโจทย์ลูกค้า Startup เช่น ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) ที่มีบริการและฟังก์ชันตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจ Startup และใกล้สำนักงานต่าง ๆ (ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ราชการนนทบุรี และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ฯ) กลุ่มคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover เช่น ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn) ที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งขนาดห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร กลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว (Investment Property Program) ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลงทุน เช่น บริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) ที่ใกล้สถานศึกษา นอกจากนี้ กลุ่มโครงการระดับลักชัวรี เช่น โซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ (So Origin Kaset Interchange) และ โซ ออริจิ้น พหล 69 (So Origin Phahol 69) และโครงการที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ เช่น พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) ตลอดจนกลุ่มโครงการในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน การกลับมาจัดอีเวนท์ขายที่อยู่อาศัยแบบ On-site ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสร้างยอดขายให้แก่บริษัทเพิ่มขึ้น หลังจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ช่องทางการขายหลัก คือช่องทางออนไลน์

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 121 โครงการ (ณ สิ้นปี 2565) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 185,555 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *