เอ็น.ซีฯ ชูนวัตกรรมบริการมัดใจลูกค้า มุ่งขยายฐาน 3-5 ล้านบาท

ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯมีการแข่งขันสูง ดีมานด์ลดลง ทำให้ผู้ประกอบการนอกจากพัฒนาสินค้ามีฟังก์ชั่นตอบโจทย์ลูกค้าโจทย์ลูกค้าในยุคนิวนอร์มอล แต่อีกสิ่งสำคัญจะสามารถมัดใจลูกค้าได้คือ นวัตกรรมบริการ 

 สมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง (NCH)  กล่าวว่า  ในปีนี้การแข่งขันจากผู้ประกอบการในตลาดจะรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ซัพพลายรวมในตลาดหายไปค่อนข้างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่าน ทำให้ในปีนี้จะเห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายรายกลับมาเปิดโครงการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการฟื้นตัวของตลาดที่กลับมาดีอีกครั้ง 
 ขณะเดียวกันบริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มอีก 200 ล้านบาท ในการพัฒนาศูนย์ Wellness & Sport Center ภายใต้แบรนด์ NC Regen 2 แห่ง ในโครงการบ้านฟ้าปิยรมย์ วงแหวนลำมูกกา คลอง 6 พื้นที่ 5,328 ตารางเมตร และโครงการ Thanya Golf Club ลำลูกกา คลอง 5 พื้นที่ 1,015 ตารางเมตร ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาเสริมการให้บริการลูกบ้านในโครงการนั้นๆ รวมถึงเปิดรับสมาชิกจากบุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริการที่จะเข้ามาช่วยสร้างรายได้จากการบริการเข้ามาเสริมให้กับบริษัท

ทุ่ม 200 ล้านขยายธุรกิจด้าน Wellness


สำหรับธุรกิจด้าน Wellness ของบริษัทในปัจจุบันที่เปิดให้บริการด้านสุขภาพ คือ โครงการศิริอรุณ ปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง และอุบลราชธานี 1 แห่ง ซึ่งรายได้ยังไม่เข้ามามาก เนื่องจากเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มลูกค้าชะลอการเข้ามาใช้บริการ และบริษัทยังไม่สามารถทำการตลาดได้อย่างเต็มที่ ทำให้รายได้ในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากราว 10 ล้านบาท และยังไม่มีแผนการขยายสาขาเพิ่มในช่วงนี้ ซึ่งบริษัทยังคงรอดูทิศทางของการกลับมาเปิดประเทศและการฟื้นตัวเศรษฐกิจอีกครั้ง
“ในปีนี้บริษัทจะมีการทำการตลาดโครงการศิริอรุณมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลัเข้ามาใช้บริการ รวมถึงการทำการตลาดควบคู่ไปกับแบรนด์ NC Regen ที่เป็นศูนย์สุขภาพด้านกีฬา ที่บริษัทแตกแบรนด์ออกมาเสริมตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการออกกำลังกาย โดยที่บริษัทคาดว่าในช่วง 3 ปีจากนี้ สัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 5-10% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีอยู่น้อยมาก” สมนึกกล่าว


รุกบ้านเปิดบ้านเดี่ยว 70%
สำหรับในปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเป็นส่วนใหญ่ ในสัดส่วนกว่า 70% หลังจากที่ปีก่อนหน้าบริษัทเปิดโครงการทาวน์เฮาส์เป็นเป็นจำนวนมาก ทำให้ในปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ลดลง โดยที่ทำเลที่บริษัทจะเปิดในปีนี้จะอยู่ในทำเลกรุงเทพฯโซนเหนือ เช่น รังสิต และกรุงเทพฯตะวันตก เช่น ราชพฤกษ์ เป็นต้น

ในปีนี้บริษัทจะมีการเดินหน้าซื้อที่ดินใหม่เข้ามา เพื่อนำมารองรับการพัฒนาโครงการในปีนี้บางส่วน โดยเฉพาะทำเลกรุงเทพฯตะวันตกที่บริษัทมีแผนพัฒนา หลังจากที่ปีก่อนหน้านี้บริษัทไม่ได้มีการซื้อที่ดิน และหันมาใช้ที่ดินรอการพัฒนาของบริษัทในการพัฒนาโครงการ ทำให้ปีนี้จะต้องกลับมาซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ซึ่งวางงบซื้อที่ดินในปี 2565 ไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท โดยจะใช้เงินทุนของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ในการซื้อที่ดินใหม่เข้ามา

อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 4,600 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่ทำยอดขายได้กว่า 4,100 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 65 ไว้จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 4,500 ล้านบาท ด้านรายได้ของบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 2,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New high) เติบโต 25% จากปีก่อน จากการที่ลูกค้ายังคงมีการซื้อโครงการแนวราบของบริษัทเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมองหาโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยส่วนหนึ่งจะมีรายได้ที่รับรู้เข้ามาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ 700-800 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาใช่ช่วงครึ่งปีแรกขอปี 2565 ทั้งหมด โดยที่บริษัทยังมีบ้านที่พร้อมขายในสต็อกสามารถขายและโอนให้กับลูกค้าได้ทันทีมูลค่ารวม 400-500 ล้านบาท

ขณะที่ในช่วงเดือนม.ค. 2565 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายได้ 400 ล้านบาท ซึ่งยังเห็นการซื้อบ้านของลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในช่วงเดือนม.ค. ที่ผ่านก็ตาม แต่มองว่าลูกค้ายังคงมีความต้องการซื้อ และลูกค้าเริ่มมีความมั่นใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น หลังจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทำให้การซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบยังดีต่อเนื่อง และทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2565 กลับมาฟื้นตัวได้

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *