ปี 65 คาดที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ กว่า 7.7 หน่วย คอนโดเริ่มฟื้นตัว

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ คาดการณ์อุปทานเปิดโครงการใหม่ ทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด จำนวนประมาณ 77,728 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.8 จากปี 2564 เผย 5 ทำเล เปิดมากสุดเขตธนบุรี อันดับ 2 ปากเกร็ด อันดับ 3.บางพลี อันดับ 4.เขตลาดพร้าว อันดับ 5 จตุจักรก ส่วน10 อันดับยอดโอนคอนโดต่างชาติไตรมาส2/65 ลูกค้าจีน ยังคงรั้งตำแหน่งแชมป์ ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าสูงสุด ในแง่จำนวนสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ตามด้วย รัสเซีย สหรัฐอเมริกา เยอรมัน และ อินเดีย

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC กล่าวว่า ในปี 2565 คาดการณ์อุปทานเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 77,728 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.8 จากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 51,531 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 35.8 ถึง 65.9 ด้านมูลค่าโครงการรวม 401,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีมูลค่า 218,950 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 65 ถึง 101.6
จากสถานการณ์อุปสงค์ที่อยู่อาศัย จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จำนวน 95,316 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ร้อยละ 9.0 ซึ่งมีจำนวน 87,485 หน่วย ประกอบด้วยโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 70,426 หน่วย โครงการอาคารชุด 24,890 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 257,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีมูลค่า 240,048 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 192,392 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 64,617 ล้านบาท ทั้งนี้ หน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของทุกภาคเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ส่อง 5 ทำเลเปิดขายโครงการมากสุด

โดยพื้นที่ที่มีการเปิดขายโครงการใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย อันดับ 1.เขตธนบุรี จำนวน 3,098 หน่วย เป็นโครงการอาคารชุดทั้งหมด มีมูลค่าโครงการ 3,718 ล้านบาท อันดับ 2.อำเภอปากเกร็ด จำนวน 2,739 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด 2,380 หน่วย บ้านจัดสรร 359 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 9,749 ล้านบาท อันดับ 3. อำเภอบางพลี จำนวน 1,763 หน่วย เป็นบ้านจัดสรรทั้งจำนวน มูลค่าโครงการรวม 32,436 ล้านบาท อันดับ 4.เขตลาดพร้าว จำนวน 1,250 หน่วย เป็นโครงการอาคารชุดทั้งจำนวน มูลค่าโครงการ 4,669 ล้านบาท อันดับ 5.เขตจตุจักร จำนวน 1,209 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด1,199 หน่วย บ้านจัดสรร 10 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 3,515 ล้านบาท


“ปี 2564 เป็นปีที่มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ต่ำสุดในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 และต่ำกว่าปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพมหานครที่มีจำนวน 82,595 หน่วย”

นอกจากนี้คาดว่า ในปี 2565 จะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 42,308 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.5 จากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 31,927 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 19.3 ถึง 45.8 ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -32.7 เนื่องจากเป็นปีที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรต่ำสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 และต่ำกว่าปี 2549 ซึ่งเป็นปีที่เกิดรัฐประหารมีการออกใบอนุญาตจัดสรรจำนวน 34,123 หน่วย

คาดอุปทานที่อยู่อาศัยปี “65เปิดกว่า 7.7 หมื่นหน่วย
ในปี 2565 คาดการณ์อุปทานการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 77,728 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 50.8 จากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 51,531 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 35.8 ถึง 65.9 ด้านมูลค่าโครงการรวม 401,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.3 เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีมูลค่า 218,950 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 65.0 ถึง 101.6
นอกจากนี้คาดว่า ในปี 2565 จะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 42,308 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.5 จากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 31,927 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 19.3 ถึง 45.8 ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -32.7 เนื่องจากเป็นปีที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรต่ำสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 และต่ำกว่าปี 2549 ซึ่งเป็นปีที่เกิดรัฐประหารมีการออกใบอนุญาตจัดสรรจำนวน 34,123 หน่วย

นอกจากนี้คาดว่า ในปี 2565 จะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 42,308 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.5 จากปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 31,927 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 19.3 ถึง 45.8 ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในปี 2564 ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -32.7 เนื่องจากเป็นปีที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรต่ำสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 และต่ำกว่าปี 2549 ซึ่งเป็นปีที่เกิดรัฐประหารมีการออกใบอนุญาตจัดสรรจำนวน 34,123 หน่วย

ด้านอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยของของคนต่างชาติ โดย REIC ประมวลผลจากข้อมูลการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ของกรมที่ดิน พบว่าหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างชาติทั่วประเทศในปี 2564 มีจำนวน 8,198 หน่วย จากจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสิ้น

89,836 หน่วย มูลค่า 36,610 ล้านบาท จากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสิ้น 253,907 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 บ้านแนวราบน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อมากกว่า ในขณะที่อาคารชุดจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต๊อกที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างอาคารชุดเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อ ผู้ประกอบการฯบ้านใหม่จะยังคงมีโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมเพื่อจูงใจให้เกิดการจัดสินใจซื้อ แต่ไม่ลดราคามากเท่ากับปี 2564 เนื่องจากมีต้นทุนของการก่อสร้างที่สูงขึ้น ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ


ตัวแปรดบ.-ต้นทุนส่งผลบ้านขยับราคาขึ้นครึ่งปีหลัง


จะมีการขยายตัวขึ้นในกลุ่มของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง แต่ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวังประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง ผลกระทบจากสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวกันกับช่วงปีที่ผ่านมา ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และอาจจะมีการขยายตัวของการ Refinance เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อาจทำให้รายได้ไม่สมดุลกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย

สำหรับสถานการณ์หน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างชาติ ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 มีจำนวน 4,433 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 4,370 หน่วยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดคนต่างชาติ จำนวน 22,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 20,472 ล้านบาท


โดยผู้ซื้อสัญชาติจีนยังคงมีการโอนกรรสิทธิ์สูงสุด ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 1,124 หน่วย มูลค่า 5,931 ล้านบาท โดยลำดับ 2 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าจะมีความแตกต่างกัน โดยสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนหน่วยสูงสุดเป็นลำดับ 2 คือรัสเซีย จำนวน 129 หน่วย มูลค่า 415 ล้านบาท ลำดับ 3 สหรัฐอเมริกา จำนวน 116 หน่วย มูลค่า 643 ล้านบาท ลำดับ 4 เยอรมัน จำนวน 80 หน่วย มูลค่า 266 ล้านบาท ลำดับ 5 อินเดีย จำนวน 79 หน่วย มูลค่า 353 ล้านบาท


ทั้งนี้ จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 บ้านแนวราบน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อมากกว่า ในขณะที่อาคารชุดจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต๊อกที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างอาคารชุดเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อ ผู้ประกอบการฯ บ้านใหม่จะยังคงมีโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมเพื่อจูงใจให้เกิดการจัดสินใจซื้อ แต่ไม่ลดราคามากเท่ากับปี 2564 เนื่องจากมีต้นทุนของการก่อสร้างที่สูงขึ้น ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ


ยอดโอนคอนโต่างชาติจีนรั้งแชมป์โอนสูงสุด
สำหรับสถานการณ์หน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของคนต่างชาติ ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 มีจำนวน 4,433 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 4,370 หน่วยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดคนต่างชาติ จำนวน 22,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 20,472 ล้านบาท


โดยผู้ซื้อสัญชาติจีนยังคงมีการโอนกรรสิทธิ์สูงสุด ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 1,124 หน่วย มูลค่า 5,931 ล้านบาท โดยลำดับ 2 ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าจะมีความแตกต่างกัน โดยสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวนหน่วยสูงสุดเป็นลำดับ 2 คือรัสเซีย จำนวน 129 หน่วย มูลค่า 415 ล้านบาท ลำดับ 3 สหรัฐอเมริกา จำนวน 116 หน่วย มูลค่า 643 ล้านบาท ลำดับ 4 เยอรมัน จำนวน 80 หน่วย มูลค่า 266 ล้านบาท ลำดับ 5 อินเดีย จำนวน 79 หน่วย มูลค่า 353 ล้านบาท

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *