6 เหตุผลดันยอดคอนโดหรูพัทยาพุ่ง โอเชี่ยนฯ ชี้บ้านหลังสองฮิตรอบใหม่

โดย…ทีมงานโลเคชั่น อินไซด์

เจาะลึกปัจจัยที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยากลับมาคึกคักรอบใหม่ท่ามกลางโควิด-19 (COVID-19) และภาพรวมตลาดแนวสูงยังชะลอตัว

กลับมาคึกคักรอบใหม่สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยา หลังจากก่อนหน้านี้ที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์โควิด-19 (COVID-19) โดยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมพัทยายังในภาวะที่ชะลอตัว ซึ่งอาจจะมาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจและจำนวนซัพพลายที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก จนมาถึงช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 รุนแรงจนหลายจังหวัดต้องประกาศล็อกดาวน์ ขอความร่วมมือหยุดอยู่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ก็ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมให้ตลาดชะลอตัวมากขึ้น

แต่เมื่อการหยุดอยู่บ้านเป็นเวลานาน เดินทางข้ามจังหวัดไม่ได้ ท่องเที่ยวไม่ได้ เดินทางต่างประเทศไม่ได้ กลายเป็นผลให้เกิดภาวะ “ดีมานด์อั้น” ในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว และนั่นทำให้ เมื่อภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ การท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียงก็กลับมาอย่างก้าวกระโดด ที่พัก ร้านอาหารเต็มแน่นรอบใหม่ และ “พัทยา” เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ จนอาจกล่าวได้ว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยได้เร็วมาก

ไม่เพียงแต่ภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มที่ดี ตลาดคอนโดมิเนียมหรูในพัทยาก็ยังส่งสัญญาณที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมหรูพร้อมอยู่ บนทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ

โดยจากการสำรวจพบว่า มี 6 เหตุผลที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมหรูในพัทยากลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง

  1. มาตรการหยุดอยู่บ้าน ลดเสี่ยงโควิด-19 มีผลให้คนที่มีกำลังซื้อสูง สนใจกลับมาหาบ้านหลังสองรอบใหม่ เพื่อเป็นที่พักสำรองในกรณีฉุกเฉิน หลังจากที่ตลาดบ้านหลังที่สองในลักษณะบ้านพักตากอากาศเคยเป็นกระแสนิยมอย่างมากมาแล้วในช่วงน้ำท่วมปลายปี พ.ศ. 2554 ที่คนกรุงต้องการหาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วม จนทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวบูมมาก และครั้งนี้ กระแสความต้องการเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง และคอนโดมิเนียมในพัทยาถือเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ
  2. เดินทางสะดวก ใช้เวลาจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
  3. สถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย ครบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มคู่รัก และกลุ่มประชุม สัมมนา
  4. ด่านใหม่ มอเตอร์เวย์ (ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง) หมายเลข 7 กรุงเทพฯ – ชลบุรี – พัทยา ได้แก่ ห้วยใหญ่ เขาชีโอน และมาบตาพุด หรือส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ที่เพิ่งแล้วเสร็จในปี  พ.ศ. 2563 นี้ จะยิ่งทำให้การเดินทางมายังพัทยา สนามบินอู่ตะเภาสะดวกมากยิ่งขึ้น  
  5. สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ได้รับการผลักดันให้ยกระดับเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ เชื่อมต่อสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูง จะทำให้การเดินทางมายังพัทยาจากทั่วทุกมุมเมืองสะดวกมากยิ่งขึ้น
  6. รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ประกอบด้วย สนามบินอู่ตะเภา สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ
ณพงศ์ ปริพนธ์พจน์พิสุทธิ์

“การเดินทางที่สะดวก ใช้เวลาไม่นาน กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้คนตัดสินเลือกซื้อคอนโดฯ ในพัทยา เพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง ที่ที่จะเดินทางมาพักได้รวดเร็ว” ณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าว

เขายังกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้จากตัวเลขยอดขายในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาของโครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน – พัทยา ที่สูงถึง 120 ล้านบาท โดยยังพบว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่มีเงินเย็นและมีรายได้สูง แต่ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เข้ามาซื้อซึ่งเป็นนักธุรกิจ รุ่นใหม่อายุน้อย รวมถึงลูกค้าชาวจีนที่สนใจโครงการฯเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่แนวโน้มการมีบ้านหลังที่สองหรือบ้านพักตากอากาศ ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง บวกกับในช่วงไม่กี่ปีนี้มานี้ที่เริ่มเกิดภาวะมลพิษทางอากาศ ปัญหาฝุ่น PM2.5 จนมาถึงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการมีทำเลสำรอง เพื่อย้ายไปอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอน ซึ่งพัทยา ยังคงเป็น Top Destination ของคนกรุงเทพฯ รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ

ณพงศ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้ คือ ไม่ใช่แค่ธุรกิจต่างๆ ที่จะต้องเตรียมแผนสำรอง แต่ยังรวมถึงผู้บริโภคทั่วไปด้วยที่ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น การมีบ้านหลังที่สองจึงเป็นการปรับตัวอย่างหนึ่งเพื่อต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน และจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยุคปัจจุบันที่เราต้องเจอกับความเสี่ยงที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันยังมองเห็นดีมานด์ความต้องการบ้านหลังที่สองของชาวต่างชาติด้วย โดยเฉพาะชาวจีน ที่จะมองหาบ้านหลังที่สองในประเทศที่มีความปลอดภัย และมีระบบสาธารณสุขที่ดี ทั้งนี้ จากการรับมือที่ดีในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทย

ปัจจัยหลักที่ทำให้เมืองพัทยาได้รับความนิยม นอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่นการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางที่สะดวกมากขึ้น ประกอบกับแรงหนุนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ และการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลผลักดันอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนอีกหลายโครงการ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาจะกลับมาได้รับความนิยมของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซื้อลงทุนสำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศหรือเป็นบ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในอนาคต 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยาเพียงแค่ 1 โครงการ จำนวน 319 ยูนิตเท่านั้น เพราะภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงมีอุปทานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้เหลือขายอยู่ในตลาดพอสมควร บวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

3 ทำเลฮอตในพัทยา

สำหรับทำเลที่ยังเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียมตากอากาศในพื้นที่พัทยา คือ

  1.  พื้นที่วงศ์อมาตย์ เนื่องจากเป็นทำเลที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีชายหาดที่ค่อนข้างสวยงาม ส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวมีอัตราการขายสูงที่สุด และหน่วยเหลือขายเพียงแค่ไม่ถึง 600 ยูนิตเท่านั้น
  2. พื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการอยู่อาศัย และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่า 
  3. ย่านนาจอมเทียน เนื่องจากทำเลย่านนี่ยังคงความเงียบสงบไม่วุ่นวายเหมือนใจกลางเมืองพัทยา บวบกับแวดล้อมด้วยร้านอาหารชื่อดัง สวนน้ำ รวมถึงแนวเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ทำเลย่านนาจอมเทียนเป็นอีกทำเลที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มผู้ซื้อ เพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา

ห้องใหญ่ซัพพลายขาดตลาด

โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน -พัทยา

ขณะที่ขนาดของคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่พัทยาทั้งหมดพบว่า ห้องชุดขนาดต่ำกว่า 50 ตารางเมตร เป็นช่วงขนาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาออกมาในตลาดมากที่สุดประมาณ 84.2% และสามารถขายไปแล้วประมาณ 66.3% แต่พบว่า ห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตรขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียงแค่ 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดเท่านั้น

เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก โดยเฉพาะในพื้นที่จอมเทียนส่วนใหญ่เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ ส่งผลให้โครงการคอนโดฯ ที่มีขนาดห้องพักมากกว่า 100 ตารางเมตร เหลือขายอยู่ในตลาดเพียงแค่ประมาณ 610 ยูนิตเท่านั้น และเป็นช่วงขนาดที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุด เนื่องจากเป็นขนาดห้องพักที่ตอบโจทย์ในเรื่องของการอยู่อาศัยที่แท้จริงของคอนโดมิเนียมตากอากาศ

โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน -พัทยา

โอเชี่ยนฯ รับดีมานด์กลุ่มนักลงทุน

ในส่วนของ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการเปิดขายในพัทยา คือ  “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน -พัทยา” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ (High Rise) ที่พัฒนาไว้สำหรับรองรับกลุ่มกำลังซื้อ เพื่อเป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัว หรือมองถึงโอกาสของการลงทุนสร้างมูลค่าในระยะยาว  โดยจุดเด่นของโครงการ ตั้งอยู่นาจอมเทียน  มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เพราะเป็นทำเลที่เมืองพัทยาผลักดันให้เป็นพื้นที่ตลาดไฮเอนด์  อีกทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นทำให้การเดินทางที่สะดวก ด้วยเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ โครงการโอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน – พัทยา” คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) สไตล์โมเดิร์น สูง 37 ชั้น จำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ มีด้วยกัน 2 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 80 ตร.ม. เริ่มต้น 7.5 ล้านบาท และพิเศษกับห้องตัวอย่างใหม่ ขนาด 2 ห้องนอน 130 ตร.ม. พร้อมตกแต่ง เข้าอยู่ได้ทันที ในราคา 14.9 ล้านบาท และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รองรับทุกความต้องการสำหรับคนในครอบครัว อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องอบไอน้ำ ล็อบบี้โอ่โถ่ง ที่จอดรถกว้างขวาง พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย และประตูทางเข้าระบบคีย์การ์ด  

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *